👋 วันนี้แอดมีเรื่องฮอตฮิตมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับ Guideline การนำ Code vs No-code / Low-code ไปใช้ในองค์กรจริง ๆ กัน เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า No-code หรือ Low-code กันมาบ้างแล้ว แต่จะเอาไปใช้ยังไงดีล่ะ? มาดูกันเลย!
1. เข้าใจความแตกต่างของมันก่อน
ก่อนอื่นเลย เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าแต่ละแบบคืออะไร
- Code การเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิม ใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งต่าง ๆ เช่น Python, Java, JavaScript
- Low-code ใช้เครื่องมือที่มีส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) ช่วยในการพัฒนา แต่ยังต้องเขียนโค้ดบ้าง
- No-code พัฒนาแอพโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย ใช้การลากวางและตั้งค่าผ่าน GUI
เหมือนกับว่าเราจะทำอาหาร Code ก็คือการทำอาหารจากวัตถุดิบสด ๆ Low-code คือการใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปบ้าง ส่วน No-code ก็เหมือนกับการอุ่นอาหารแช่แข็งนั่นเอง 🍳
2. ข้อดีข้อสังเกตของแต่ละแบบ
Code
👍 ข้อดี
- ยืดหยุ่นสูง ทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ
- ประสิทธิภาพสูง เพราะเราควบคุมทุกอย่างได้
⚠️ ข้อสังเกต
- ใช้เวลานาน และ ต้นทุนสูงในการพัฒนา
- ต้องการทักษะสูงในการพัฒนา และ บำรุงรักษา
Low-code
👍 ข้อดี
- พัฒนาได้เร็วกว่าการเขียนโค้ดทั้งหมด
- ยังมีความยืดหยุ่นพอสมควร เนื่องจากมีช่องทางสำหรับการต่อยอดได้
⚠️ ข้อสังเกต
- อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง ตามลักษณะของโปรแกรม
- ยังต้องการความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมอยู่บ้าง
No-code
👍 ข้อดี
- พัฒนาได้เร็วมากสำหรับการทำ Product
- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม เพราะถูกออกแบบมาให้คนทั่วไปใช้ได้
⚠️ ข้อสังเกต
- มีข้อจำกัดมาก ทำได้เฉพาะสิ่งที่แพลตฟอร์มรองรับ
- อาจมีปัญหาเรื่องการ scale ในอนาคตทั้งการรองรับผู้ใช้งาน หรือ การขยายฟีเจอร์ต่าง ๆ
3. เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับองค์กร
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ แล้วจะเลือกใช้แบบไหนดีล่ะ? 🤔 แอดมีหลักการง่าย ๆ มาฝากกันตามนี้ได้เลย
1. ให้เราลองพิจารณาความซับซ้อนของโปรเจค
- ถ้าเป็นระบบซับซ้อนมาก ต้องการความยืดหยุ่นสูง → เลือกใช้ Code
- ถ้าเป็นระบบที่ไม่ซับซ้อนมาก แต่ต้องการปรับแต่งบ้าง → เลือก Low-code
- ถ้าเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป ไม่ต้องการอะไรพิเศษ → No-code น่าจะพอ
2. ดูทักษะของทีมที่เรามี
- มีโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ เยอะ → ใช้ Code ได้เลย
- มีคนที่พอรู้เรื่องโปรแกรมมิ่งบ้าง หรือ โปรแกรมเมอร์พอมีช่วงเวลาเหลือ → Low-code น่าจะเหมาะ
- ไม่มีใครเขียนโค้ดเป็นเลย → ลองดู No-code ก่อนได้
3. เวลาและงบประมาณ
- มีเวลาและงบประมาณเยอะ → Code อาจคุ้มค่าในระยะยาว
- ต้องการผลลัพธ์เร็ว งบจำกัด → No-code หรือ Low-code น่าสนใจ
4. สำคัญมากก ก็คือแผนในอนาคต:
- ถ้าคาดว่าระบบจะต้องขยายหรือเปลี่ยนแปลงมากในอนาคต → Code หรือ Low-code ดีกว่า
- ถ้าเป็นระบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงมาก → No-code ก็พอ
ลองนึกภาพว่าเราจะสร้างบ้าน ถ้าอยากได้บ้านที่มีดีไซน์เฉพาะตัวสุด ๆ ก็ต้องจ้างสถาปนิกมาออกแบบใหม่หมด (Code) แต่ถ้าแค่อยากได้บ้านธรรมดา ๆ อยู่ได้สบาย ๆ บ้านสำเร็จรูป (No-code) ก็น่าจะตอบโจทย์เช่นกัน โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช่จ่ายอะไรเยอะเลย 🏠
4. ตัวอย่างการนำไปใช้จริง
เอาจริง ๆ แล้วถ้าพูดให้เห็นภาพสุดอยากให้ทุกคนมาดูตัวอย่างกันดีกว่าว่าองค์กรแบบไหน ใช้อะไร ในสถานการณ์ไหนกันได้บ้าง
- สตาร์ทอัพเล็ก ๆ ที่ต้องการสร้าง MVP เร็ว ๆ
→ ใช้ No-code platform เช่น Bubble หรือ Webflow สร้างเว็บไซต์หรือแอพง่าย ๆ ได้เลย - บริษัทขนาดกลางที่ต้องการระบบ CRM
→ Low-code platform อย่าง Salesforce หรือ Microsoft Power Apps น่าจะเหมาะ - ธนาคารที่ต้องการพัฒนาระบบการทำธุรกรรมออนไลน์
→ ต้องใช้ Code แน่นอน เพราะต้องการความปลอดภัยและการควบคุมสูง - ร้านอาหารขนาดเล็ก ๆ ที่ต้องการแอพสั่งอาหารของตัวเอง
→ No-code หรือ Low-code น่าจะพอ เช่น ใช้ Glide สร้างแอพจาก Google Sheets ได้เลย
เห็นมั้ยล่ะว่าแต่ละแบบก็เหมาะกับสถานการณ์ที่ต่างกันไป 🍔🏦🚀
สรุป
การเลือกใช้ Code, Low-code หรือ No-code นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่มีคำตอบตายตัวว่าอันไหนดีที่สุด แต่ถ้าเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบ และพิจารณาตามความต้องการขององค์กร เราก็จะสามารถเลือกได้อย่างเหมาะสม
และถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโค้ด หรืออยากลองใช้ Low-code platform ต่าง ๆ แอดแนะนำให้ลองดูคอร์สออนไลน์ของ borntoDev นะ เรามีคอร์สที่เหมาะกับทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ยันโปรเลยล่ะ! 😉