ก่อนอื่นเลย ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์, ฝ่ายพัฒนาด้านโครงสร้างหลังบ้าน (Back-end) เปรียบเสมือนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่คอยขับเคลื่อนส่วนของเซิร์ฟเวอร์ในซอฟต์แวร์ต่างๆ ขณะที่ฝ่ายพัฒนาด้านการแสดงผล (Front-end) จะเป็นส่วนที่สวยงามและน่าสนใจของซอฟต์แวร์ ฝ่ายพัฒนาด้านบริการเปรียบเสมือนเป็นโครงสร้างหลักที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่จัดการข้อมูล กำหนดกฎเกณฑ์ และประมวลผลในส่วนของเซิร์ฟเวอร์
การเลือกฝ่ายพัฒนาโครงสร้างหลังบ้าน (Back-end) ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการขยายขนาดของซอฟต์แวร์เป็นอย่างมาก ในบทความนี้ จะพาคุณสำรวจลึกลงไปในโลกของ (Back-end) โดยจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะ กรณีการใช้งาน และตัวเลือกยอดนิยมต่างๆ ที่มีให้เลือก
การเลือก Back-end ที่ใช่จะเป็นหัวใจของการสำเร็จ 💘💘
ในโลกของการพัฒนาเว็บไซต์, Back-end ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนส่วนของเซิร์ฟเวอร์ในแอปพลิเคชัน ขณะที่ Front-end จะรับผิดชอบในการจัดการส่วนติดต่อผู้ใช้และการปฏิสัมพันธ์ด้านไคลเอ็นต์หรือส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้งาน Back-end มีบทบาทสำคัญในการจัดการข้อมูล กำหนดตรรกะธุรกิจ และการประมวลผลในส่วนของเซิร์ฟเวอร์
การเลือกภาษาโปรแกรมสำหรับ Back-end จึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพ ความสามารถในการขยายขนาด และความปลอดภัยของแอปพลิเคชันในโปรเจคนั้นๆ
พลังของ Back-end ผลักดันแอปพลิเคชันสู่ความสำเร็จ 💘💘
- การประมวลผลด้านเซิร์ฟเวอร์: ภาษาโปรแกรม Back-end สามารถรับข้อมูลจากผู้ใช้, ประมวลผล และจัดเก็บใน database ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการระบบยืนยันตัวตน, การตรวจสอบข้อมูล และการคำนวณที่ซับซ้อน
- การจัดการข้อมูลและฐานข้อมูล: Back-end มีความสามารถในการโต้ตอบกับฐานข้อมูล ทำ CRUD (Create, Read, Update, Delete) บนข้อมูล และจัดการการเชื่อมต่อฐานข้อมูล
- การนำตรรกะแอปพลิเคชันมาใช้: Back-end สามารถจัดการกับข้อมูลป้อนเข้าจากผู้ใช้, ประมวลผลข้อมูล, ดำเนินการคำนวณ และประสานงานระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของแอปพลิเคชัน
- ความสามารถในการช่วยขยายขนาดและประสิทธิภาพ: Back-end สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขยายขนาดและประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน โดยบางภาษาและ framework ช่วยจัดการกับจำนวนการเข้าถึงและปริมาณข้อมูลขนาดมหาศาล
- การรักษาความปลอดภัย: Back-end ช่วยป้องกันแอปพลิเคชันจากช่องโหว่ที่พบบ่อย เช่น SQL injection, XSS และ CSRF โดยการสร้างกลไกการยืนยันตัวตน, การเข้ารหัสข้อมูล และการควบคุมการเข้าถึง
- การสนับสนุนการผสานรวมและ API: Back-end เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างแอปพลิเคชันกับบริการ ฐานข้อมูล และ API ภายนอก
- การใช้ประโยชน์จากเฟรมเวิร์กและเครื่องมือ: Back-end มี tool อย่างมากมาย เช่น เฟรมเวิร์กที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา และรักษาคุณภาพของcode
การสำรวจคุณลักษณะ กรณีการใช้งาน และตัวเลือก Back-end ยอดนิยม 💘💘
เมื่อเลือกใช้ภาษาโปรแกรมสำหรับการพัฒนา Back-end ในโปรเจค ก็จะมีตัวเลือกที่หลากหลายและเป็นที่นิยมอยู่มาก ทุกภาษามีจุดเด่นเฉพาะตัว ทั้งในด้านคุณสมบัติ ความสามารถ และการสนับสนุนจากชุมชนที่แตกต่างกัน โดยผมจะนำเสนอเเต่ละ Back-end เพื่อให้ลองพิจารณาภาษาเหล่านี้ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการพัฒนา Back-endกันนะครับ:
1.JavaScript (Node.js)
Node.js ภาษานี้ได้รับความนิยมอย่างมากในด้าน Backend ด้วย Node.js ช่วยให้นักพัฒนาใช้ JavaScript ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้สร้างแอปพลิเคชันแบบ full-stack JavaScript ได้ Node.js มีสถาปัตยกรรมที่ไม่ block (non-blocking architecture) หรือจะอธิบายเพิ่มเติมก็คือซอฟต์แวร์ที่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องรอให้กระบวนการหนึ่งเสร็จสิ้นก่อนจึงจะสามารถดำเนินการถัดไปได้ และขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ ซึ่งทำให้สามารถขยายขนาดและมีประสิทธิภาพในการจัดการคำขอพร้อมกันได้อย่างยอดเยี่ยม
ลองมาดูกรณีศึกษาของ PayPal ในการใช้ Node.js เป็น Backend กันครับ PayPal เป็นบริษัทชำระเงินออนไลน์ที่มีปริมาณธุรกรรมจำนวนมหาศาล ในอดีต พวกเขาใช้ Java เป็นภาษาหลักสำหรับการพัฒนาระบบแบ็คเอนด์ แต่ต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนมาใช้ Node.js แทน
เหตุผลหลักที่ PayPal เปลี่ยนมาใช้ Node.js คือ ความสามารถของ Node.js ในการจัดการกับคำขอจำนวนมากแบบขนานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ไม่ block และขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ ระบบของ PayPal จึงสามารถรับมือกับปริมาณธุรกรรมที่มหาศาลได้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทรัพยากรมากนัก
ผลลัพธ์ที่ PayPal ได้รับจากการใช้ Node.js คือ ระบบสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีความสเกลสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจการชำระเงินออนไลน์ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การเปลี่ยนมาใช้ Node.js ยังช่วยให้ PayPal สามารถพัฒนาและนำระบบใหม่ๆ ออกมาได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น จะเห็นได้วา Node.js ซึ่งใช้ JavaScript เป็นภาษาหลัก เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนา Back-end โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแอปพลิเคชันที่ต้องรับมือกับปริมาณคำขอและข้อมูลจำนวนมาก ด้วยสถาปัตยกรรมที่ไม่ block(non-blocking architecture) ของ Node.js จึงสามารถรับมือกับความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง (https://medium.com/paypal-tech/node-js-at-paypal-4e2d1d08ce4f)
2.Python (Django)
Python เป็นที่รู้จักในเรื่องความง่ายในการใช้งาน ความอ่านง่าย และมีไลบรารีและเฟรมเวิร์กมากมาย Python ได้รับความนิยมสำหรับการพัฒนา Backend เนื่องจากความง่ายในการใช้งาน การสนับสนุนจากชุมชนที่กว้างขวาง และความหลากหลายของการนำไปใช้งาน เฟรมเวิร์กของ Python เช่น Django มอบวิธีแก้ปัญหาที่แข็งแกร่งสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่สเกลได้และมีความปลอดภัย ความเน้นในเรื่องความอ่านง่ายของโค้ดทำให้ Python เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับโปรเจคที่มุ่งเน้นในเรื่องของโค้ดที่สะอาดและสามารถบำรุงรักษาได้
ทีนีลองมาดูกรณีศึกษาของ Pinterest เป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ บริษัทนี้ใช้ Python เป็นภาษาหลักในการพัฒนา Backend ของระบบ โดยเลือกใช้เฟรมเวิร์ก Django ซึ่งเป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Python
Pinterest เลือกใช้ Python เนื่องจากภาษานี้มีความง่ายในการใช้งาน โค้ดอ่านง่าย และยังมีชุมชนผู้ใช้ที่กว้างขวางให้การสนับสนุนและพัฒนาไลบรารีมากมาย ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Django ยังช่วยให้ Pinterest สร้างระบบที่มีความสเกลสูงและปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์ในการจัดการฐานข้อมูล การกำหนดเส้นทาง และการรับรองความถูกต้องอย่างครบถ้วน ทำให้พวกเขาสามารถสร้างแพลตฟอร์มที่รองรับผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Python และ Django เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการพัฒนา Backend ของ Pinterest โดยมีจุดเด่นในเรื่องความง่าย การสนับสนุนจากชุมชน และความสามารถในการสร้างระบบที่ปลอดภัยและสเกลได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบริการที่มีผู้ใช้จำนวนมากอย่างเช่น Pinterest
3.Ruby (Ruby on Rails)
Ruby, มาพร้อมกับเฟรมเวิร์กสุดฮิตอย่าง Ruby on Rails, มอบสภาพแวดล้อมการพัฒนาที่ง่ายและเป็นมิตรกับนักพัฒนา สำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชัน Ruby on Rails นำเสนอแนวคิด “convention over configuration” ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาโดยการเน้นการใช้ convention และลดความจำเป็นในการเขียนโค้ดซ้ำ ๆ ระบบมีเครื่องมือและไลบรารีในการจัดการฐานข้อมูล การกำหนดเส้นทาง และการรับรองความถูกต้อง ทำให้เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ในกรณีศึกษาของ Basecamp (เดิมบริษัทชื่อ 37signals) บริษัทนี้ใช้ Ruby เป็นภาษาหลักในการพัฒนา Back-end ของระบบ โดยเลือกใช้เฟรมเวิร์ก Ruby on Rails ซึ่งเป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Ruby ก่อนอื่นเลย Basecamp เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ก่อตั้งในปี 2004 โดย Jason Fried, David Heinemeier Hansson และอีกหลายคน โดย Hansson ซึ่งเป็นผู้สร้าง Ruby on Rails ได้เลือกใช้เฟรมเวิร์กนี้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Basecamp. ความท้าทายในการพัฒนาที่ทาง Basecamp ได้เจอก็คือ Basecamp ต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการโครงการและทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นความง่ายในการใช้งาน และการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า
ด้วยการใช้ Ruby on Rails ในการพัฒนา Basecamp ได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นแอปพลิเคชันจัดการโครงการและทีมงานที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยมีลูกค้ามากกว่า 2.4 ล้านบัญชี ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการเลือกใช้ Ruby on Rails ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนและความต้องการทางธุรกิจสูง สามารถช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จได้
4.Java
Java เป็นภาษาที่มีความสามารถสูง และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการพัฒนาแอปพลิเคชันทางด้านแบ็คเอนด์ ซึ่งมีจุดแข็งที่สำคัญหลายประการ อาทิ ความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) ที่ดี ทำให้เหมาะสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่มีความซับซ้อน ระบบนิเวศที่กว้างขวาง (Extensive Ecosystem) โดยมีกรอบงานที่แข็งแกร่งและเป็นที่นิยม เช่น Hibernate ซึ่งช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนเป็นไปอย่างราบรื่น และการกำหนดชนิดข้อมูลแบบเข้มงวด (Strongly Typed) และการคอมไพล์แบบสแตติก (Static Compilation) ที่ช่วยตรวจจับข้อผิดพลาดได้ตั้งแต่ในช่วงการพัฒนา และรับประกันความสมบูรณ์ของรหัสที่พัฒนาขึ้น ดังนั้น Java จึงเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูง และมีความเหมาะสมสำหรับการพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูง
จากกรณีศึกษาของบริษัท JRPass เป็นบริษัทที่ใช้ Java ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม. JRPass เป็นบริษัทที่ให้บริการระบบจองตั๋วรถไฟในประเทศญี่ปุ่น.
การใช้ Java ทำให้ JRPass สามารถพัฒนาและปรับปรุงระบบจองตั๋วได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการเขียนและทดสอบโค้ดได้ในทันที. นอกจากนี้ Java ยังมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่และมีการสนับสนุนจากชุมชนที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบริษัทที่ต้องการพัฒนาระบบที่มีการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว.
ดังนั้น กรณีศึกษาของ JRPass แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Java ในการรองรับการขยายขนาดของแพลตฟอร์มที่ใหญ่และมีการเข้าถึงจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของภาษานี้ในการรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจ.
อ้างอิงจาก (https://www.ideamotive.co/java/case-study)
5.PHP
PHP เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์เนื่องจากความง่ายและการรับรองอย่างกว้างขวาง ภาษานี้มีชุมชนขนาดใหญ่และมีไลบรารีที่กว้างขวาง เช่น Laravel และ Symfony ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน PHP มีความเข้ากันได้กับฐานข้อมูลหลากหลายประเภท รวมถึง MySQL และ PostgreSQL ทำให้เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้ฐานข้อมูล
จากกรณีศึกษาของบริษัท Facebook เป็นอีกหนึ่งในบริษัทที่ใช้ PHP ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม แม้ว่า PHP จะมีชื่อเสียงว่ายากต่อการขยายขนาด แต่ Facebook ได้เลือกที่จะขยาย PHP monolith แทนที่จะแยกมันออกเป็นสถาปัตยกรรม microservices ที่แจกแจง.
Facebook ได้สร้าง HHVM (Hip Hop Virtual Machine) ซึ่งเป็นคอมไพเลอร์ just-in-time สำหรับ PHP ทำให้ Facebook สามารถขยายขนาดได้โดยไม่ต้องทำการปรับแต่งที่จะทำให้ทั้งบริษัทช้าลง. นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของ PHP ที่สามารถรองรับการขยายขนาดของบริษัทที่ใหญ่เท่า Facebook.
การใช้ PHP ทำให้ Facebook สามารถพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์มของตนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการเขียนและทดสอบโค้ดได้ในทันที นอกจากนี้ PHP ยังมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่และมีการสนับสนุนจากชุมชนที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบริษัทที่ต้องการพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว.
ดังนั้น กรณีศึกษาของ Facebook แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ PHP ในการรองรับการขยายขนาดของแพลตฟอร์มที่ใหญ่และมีการเข้าถึงจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของภาษานี้ในการรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจ
อ้างอิงจาก (https://www.softkraft.co/companies-using-php/)
6.Go (Golang)
Go เป็นภาษาใหม่ที่พัฒนาโดย Google มันได้รับความสนใจเนื่องจากความง่าย ประสิทธิภาพ และการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งในเรื่องของการทำงานพร้อมกัน ลักษณะที่ถูกคอมไพล์และการออกแบบที่เบาของ Go ทำให้มีประสิทธิภาพสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพสูง Go มีไลบรารีมาตรฐานที่รวมถึงคุณสมบัติสำหรับการจัดการเครือข่าย การทำงานพร้อมกัน และการเข้าถึงฐานข้อมูล
จากกรณีศึกษาของ การใช้ Go (Golang) พัฒนาระบบบริหารจัดการการผลิตของ Uber
Uber เป็นบริษัทที่ใช้ Go (Golang) ในการพัฒนาแพลตฟอร์มของตน. Uber เป็นบริษัทที่ให้บริการระบบจองรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน.
การใช้ Go ทำให้ Uber สามารถพัฒนาและปรับปรุงระบบจองรถแท็กซี่ของตนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการเขียนและทดสอบโค้ดได้ในทันที1. นอกจากนี้ Go ยังมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่และมีการสนับสนุนจากชุมชนที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบริษัทที่ต้องการพัฒนาระบบที่มีการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว.
ดังนั้น กรณีศึกษาของ Uber แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Go ในการรองรับการขยายขนาดของแพลตฟอร์มที่ใหญ่และมีการเข้าถึงจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของภาษานี้ในการรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจ.
อ้างอิงจาก (https://www.uber.com/en-TH/blog/aresdb/)
7.C#
C# เป็นภาษาที่พัฒนาโดย Microsoft และมักใช้สำหรับการสร้างแอปพลิเคชันบน .NET framework ภาษานี้มีคุณสมบัติที่หลากหลาย รวมถึงการกำหนดชนิดข้อมูลแบบเข้มงวด การเก็บขยะอัตโนมัติ และไลบรารีคลาสที่ครอบคลุม C# เหมาะสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่ต้องการการรวมเข้ากับระบบและเทคโนโลยีที่ใช้ Windows
ขอบคุณภาพประกอบจาก (https://www.fiverr.com/hundev/develop-backend-with-asp-net-core-or-mvc)
จากกรณีศึกษาของบริษัท Stack Overflow เป็นบริษัทที่ใช้ C# ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม. Stack Overflow เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการคำถามและคำตอบทางเทคนิคและการเขียนโปรแกรม.
การใช้ C# ทำให้ Stack Overflow สามารถพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการเขียนและทดสอบโค้ดได้ในทันที. นอกจากนี้ C# ยังมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่และมีการสนับสนุนจากชุมชนที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบริษัทที่ต้องการพัฒนาระบบที่มีการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว.
ดังนั้น กรณีศึกษาของ Stack Overflow แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ C# ในการรองรับการขยายขนาดของแพลตฟอร์มที่ใหญ่และมีการเข้าถึงจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของภาษานี้ในการรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจ
อ้างอิงจาก (https://www.testgorilla.com/blog/what-is-c-sharp-used-for/)
“ในท้ายที่สุดเเล้วแต่ละภาษาของ Back-end มีคุณสมบัติเฉพาะ การสนับสนุนจากชุมชน และระบบนิเวศของไลบรารีและกรอบงาน การเลือกใช้ Back-endขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความต้องการของโปรเจค ความชำนาญของนักพัฒนา Back-end ความต้องการในการสเกล และความเข้ากันได้กับระบบที่มีอยู่ ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่จะต้องพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละภาษาเพื่อตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เหล่าผู้พัฒนาสามารถเลือก Back-end ที่เหมาะสมในการพัฒนาของโปรเจคของตัวเองได้น๊าา ขอบคุณที่อาจกันจนจบครับ”