Skip to main content
0

สารจากนักเขียน

ในยุคปัจจุบันนี้รูปแบบการทำเว็บก็มีอยู่มากมายหลายแบบให้เราเลือกใช้ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า บางเว็บเวลาเราคลิกปุ่มที่ดูเหมือนจะพาเราไปที่อีกหน้านึง ตัวอย่างเช่น เราเข้าเว็บไซต์กิจกรรมหนึ่ง ซึ่ง เราอยู่หน้าหลักแล้วคลิกปุ่มเพื่อดูหน้ารายละเอียดกิจกรรม บางเว็บก็ไม่มีการรีโหลดเว็บใหม่อีกรอบ (โดยปกติเวลาเราคลิกไปอีกหน้า มันจะเปลี่ยนไปแสดงผลไฟล์ HTML อีกอันนั้นเอง ทำให้มันต้องโหลดซ้ำ) วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน

Single-page Application (SPA) คืออะไร

ตามที่เกริ่นตามข้างต้นไป SPA คือเทคนิคในการทำเว็บไซต์ให้ไม่มีการรีโหลดเว็บเวลาคลิกเพื่อไปหน้าต่อไป (หรือก็คือไม่เปลี่ยน URL นั่นเอง) ถ้าขยายความก็คือเมื่อคลิกปุ่มแล้ว มันจะดึงข้อมูลส่วนแสดงผลเพียงแค่บางส่วนที่จำเป็น (ใน SPA จะใช้ JavaScript เพื่อดึงข้อมูล) ไม่จำเป็นที่จะต้องโหลดใหม่ทั้งหน้าเหมือนปกติ

เพื่อให้เข้าใจหลักการทำงานของ SPA ให้มากขึ้น ผมจะขอตัวอย่างโค้ดของ React และจะพยายามอธิบายให้เห็นภาพแม้จะไม่รู้จัก React มาก่อน

สังเกตบรรทัดที่ 1 และ 2 ใน React มันคือการเช็คว่าถ้าหากเงื่อนไขหรือตัวแปรที่เราตั้ง มันมีค่าความจริงเป็นยังไง ถ้าจริงมันจะแสดงผลของส่วนนั้น ๆ ออกมา ในโค้ดด้านบน ด้านหน้าคือตัวแปรที่ชื่อว่า “appState” เก็บค่า string ไว้อยู่ ถ้าหากมันมีค่าเท่ากับ “menu” เงื่อนไขบรรทัดแรกจะเป็นจริง

แต่ถ้าบรรทัด 5 เป็นจริง แต่บรรทัด 6 ไม่จริง ผลลัพธ์ คือ มันจะแสดงผลในส่วนของบรรทัด 5 ในส่วนหัวด้านบนเว็บเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าบรรทัด 6 เป็นจริง แต่บรรทัด 5 ไม่จริง ผลที่ได้คือบรรทัดที่ 6 จะแสดงที่ส่วนหัวแทน

ในกรณีสมมติถ้าเราตั้งเงื่อนไขใหม่ให้ทั้งสองเป็นจริง มันก็จะแสดงทั้งสองส่วนตามลำดับ

สรุปแบบสั้น ๆ ก็คือ ถ้าเราต้องการแสดงผลส่วนของเว็บไหน ก็ให้ปิดเงื่อนไขที่ไม่ต้องการแสดงผล แต่เปิดเฉพาะส่วนที่อยากแสดงเท่านั้น ฉะนั้นหลักการ SPA ก็คือการแสดงผลในส่วนที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ทำให้เราไม่จำเป็นต้องรีโหลดหน้าเว็บใหม่ก็ได้

เสริม : ใน React จะมีสิ่งที่เรียกว่า Components ซึ่งเปรียบเสมือนการแยกไฟล์ HTML เป็นพาร์ท ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการแก้ไข  แล้วค่อยนำมาแสดงผลในหน้าเดียวกัน ฉะนั้น React จึงใช้เทคนิค SPA ได้นั่นเอง

ข้อดีและข้อเสียของ SPA

ข้อดี

  1. ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการท่องเว็บ หรือก็คือ เพิ่ม UX ให้กับเว็บนั่นเอง เพราะไม่มีรอยต่อระหว่างการท่องเว็บ (ไม่มีการรีโหลดเว็บใหม่นั่นแหละ)
  2. เว็บไซต์มีการตอบสนองได้เร็ว
  3. ลดการทำงานของทางฝั่ง Server ที่จะส่งข้อมูล

ข้อเสีย

  1. การทำ SEO Optimization นั้นทำได้ยาก เนื่องจากว่าเราแสดงผลอยู่ที่หน้าเดียว
  2. ผู้ใช้ที่ไม่ได้เปิด JavaScript ในบราวเซอร์จะไม่สามารถใช้งานหน้าเว็บได้

Multiple-page Application (MPA) คืออะไร

แล้วมีแบบรีโหลดเพจมีหรือไม่? คำตอบคือมี ตรงกันข้ามกับ SPA เลย มันจะเรียกว่าเทคนิค MPA หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Multiple-page Application หลักการทำงานมันจะแตกต่างจาก SPA ก็คือ เมื่อเราคลิกไปที่ส่วนต่อไป มันจะรีโหลดเว็บ ซึ่งเทคนิค MPA ก็คือเทคนิคที่ถูกนำมาใช้ในการเขียน HTML นั่นเอง

จากตัวอย่างโค้ดด้านบน ก็จะสังเกตว่าเมื่อกดลิงค์เว็บเพจจะแสดงผลไฟล์ HTML ในตำแหน่งที่กำหนด

ข้อดีและข้อเสียของ MPA

ข้อดี

  1. ง่ายต่อการเพิ่มเติม ก็คือเราก็แค่เพิ่มเป็นลิงก์เข้าไปเหมือนโค้ดด้านบนเท่านั้นเอง พอจะแก้ไขก็แค่ไปที่ไฟล์ ๆ นั้นได้เลย
  2. ทำ SEO Optimization ได้ง่าย เพราะมีการแบ่งเป็นหน้า ๆ ชัดเจน

ข้อเสีย

  1. เว็บไซต์มีการตอบสนองช้า เนื่องจากมีการโหลดหน้าเว็บใหม่ ก็ต้องมีการโหลดข้อมูลใหม่
  2. ฝั่ง Server ทำงานหนักกว่าแบบ SPA เนื่องจากต้องมีการโหลดหน้าเว็บใหม่

สรุป

SPA คือเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่ต้องรีโหลดเว็บใหม่ แต่ MPA ต้องโหลดเว็บใหม่ ซึ่งทั้งสองตัวนี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ดังนั้นจะต้องเลือกใช้ให้ตอบโจทย์กับประเภทงานของเราด้วย ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านทุกคนนะครับ ไว้เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ!

อ้างอิง

  1. Single Page Application (SPA) คืออะไร, สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2566 จาก https://supakon-k.medium.com/single-page-application-spa-คืออะไร-a401ded00f8c
  2. เว็บแบบ SPA คืออะไร ?, สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2566 จาก https://8columns.com/page/id/เว็บแบบ-spa-คืออะไร
  3. MPA (Multi Page Application) คืออะไร, สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2566 จาก https://itthipat.com/mpa-multi-page-application-คืออะไร
Sawit Koseeyaumporn

Author Sawit Koseeyaumporn

Student @ CPE KMUTT

More posts by Sawit Koseeyaumporn

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้สำหรับการติดตามทางการตลาด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นในการใช้งานเพื่อการวิเคราะห์ และ นำเสนอโปรโมชัน สินค้า รวมถึงหลักสูตรฟรี และ สิทธิพิเศษต่าง ๆ คุณสามารถเลือกปิดคุกกี้ประเภทนี้ได้โดยไม่ส่งผลต่อการทำงานหลัก เว้นแต่การนำเสนอโปรโมชันที่อาจไม่ตรงกับความต้องการ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า