คุณกำลังประสบพบกับปัญหาเหล่านี้บ้างหรือไม่ อยากที่จะเริ่มลองทำ IOT ทั้งที แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกการเชื่อมต่อของ Sensor แบบไหนดี ระหว่าง ZigBee กับ WIFI
ซึ่งในวันนี้แอดมินจะมาแนะนำเจ้า 2 ตัวนี้ให้ทุกคนได้รู้จักกัน ตัวไหนควรใช้อย่างไร อยากรู้ก็ไปดูกันเลยยย !!
เขียนโดย Natakorn Hongharn -BorntoDev Co., Ltd.
ก่อนอื่นเลยเชื่อว่าทุกคนนั้นต้องรู้จักเจ้า WIFI เป็นอย่างดีเลย เพราะในชีวิตประจำวันที่เราอยู่กันทุกวันนี้ อุปกรณ์ IT ต่าง ๆ ที่เราใช้งานกันไม่ว่าจะเป็น Smartphone, SmartTV, Notebook หรือ Tablet ต่าง ๆ ก็ใช้เจ้า WIFI ในการเชื่อมต่อเข้ากับตัว Router เพื่อใช้งาน Internet ภายในบ้าน หรือติดต่อ สื่อสาร แชร์ไฟล์ต่าง ๆ ผ่าน Local Network เช่นเดียวกัน
ซึ่งเจ้า Sensor ที่ไว้ใช้ทำ IOT ก็มีรูปแบบการเชื่อมต่อเป็น WIFI อยู่มากมาย ทำให้เวลาที่เราจะนำตัว Sensor นั้นมาใช้งาน ก็สามารถเพิ่มเข้าในระบบ WIFI บ้านของเราได้อย่างง่ายดายเลย
งั้น WIFI ก็ใช้งานง่ายอยู่แล้วหน่ะสิ แล้วทำไมเราถึงต้องมาสนใจ ZigBee ด้วยล่ะ ?
ก็จริงอยู่ที่ WIFI นั้นก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ถ้าสมมุติว่าระบบ IOT ที่เราใช้งานเป็นแค่พื้นที่เล็ก ๆ ใช้ภายในห้อง หรือภายในบ้าน ที่อยู่ในชั้นเดียวกันอะไรอย่างนี้ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว (พูดง่าย ๆ ก็คือ อยู่ในพื้นที่ Router สามารถกระจาย WIFI ได้ทั่วถึง)
แล้วถ้าเป็นระบบที่ใช้พื้นที่กว้างขึ้นกว่าเดิมล่ะ เช่น ในโรงงาน โรงเรียน พื้นที่กว้าง ๆ ต่าง ๆ อาจจะมีปัจจัยอยู่หลายประการที่จะทำให้ ZigBee เป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้นะ
ซึ่งเราจะมาลิสต์กันเป็นข้อ ๆ ว่า ทั้งสองระบบนี้ มีอะไรอย่างไรที่แตกต่างกันบ้าง แบ่งออกได้เป็น
- อุปกรณ์ที่ต้องใช้เพิ่มเติม
- ความครอบคลุมของสัญญาณ
- จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับได้
- การทำงานแบบ Offline
- ราคา
- การใช้พลังงาน
- ความรวดเร็วในการตอบสนอง
อุปกรณ์ที่ต้องใช้เพิ่มเติม
สำหรับในข้อนี้ ผมอาจจะต้องยกให้ WIFI เป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากว่า Sensor ที่ใช้ WIFI จะสามารถคุยกันในภาษาเดียวกันได้เลย เพราะทั้งสองใช้ WIFI เหมือนกันเลย ถ้าจะมีต้องใช้อุปการณ์เพิ่มเติมอาจจะแค่เพียง ตัวขยายสัญญาณในจุดที่มีสัญญาณแผ่วเบาเท่านั้นเอง
แต่ถ้าเป็น ZigBee แล้วล่ะก็ จะต้องซื้ออุปกรณ์ที่เรียกว่า Gateway หรือ Hub ด้วยเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง Sensor กับ WIFI ภายในบ้าน (พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับล่ามแปลภาษาให้นั่นเอง)
สรุป: ZigBee ต้องใช้อุปกรณ์ตัวกลางเสริมด้วย (Hub) แต่ WIFI ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางในการเชื่อมต่อ WIFI
ความครอบคลุมของสัญญาณ
ทั้งคลื่น WIFI และ ZigBee ใช้สัญญาณความถี่ 2.4 เหมือนกันทั้งคู่เลย แต่สิ่งที่แตกต่างกันออกไปนั่นคือ ZigBee สามารถทำงานแบบ Mesh กับอุปกรณ์ ZigBee อื่น ๆ (ที่ต่อแหล่งจ่ายไฟ) ที่เป็นประเภทเดียวกันได้ ซึ่ง Mesh ที่ว่านี้ จะช่วยกันกระจายสัญญาณให้ครอบคลุมพื้นที่ได้เองเลย
ซึ่งจะแตกต่างกันกับ WIFI ที่ยังต้องอาศัยตัวขยายสัญญาณช่วย ในจุดที่สัญญาณอ่อนตัวนั่นเอง เพราะมีนไม่สามารถที่จะ Mesh สัญญาณออกได้เหมือนกับ Zigbee นั่นเอง
สรุป: ZigBee สามารถกระจายสัญญาณเพิ่มระยะการเชื่อมต่อได้เองเลย แต่ WIFI ไม่มามารถที่จะกระจายสัญญาณเพิ่มเองได้
จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับได้
แน่นอนว่าปกติที่เราใช้งาน WIFI จากตัว Router นั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Smartphone, SmartTV, Notebook หรือ Tablet ต่าง ๆ ที่ต่อกับ WIFI
ซึ่งถ้าต่อเข้ากับ Sensor หลอดไฟเข้าไป ก็จะเป็นการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปใน Router อีกหนึ่งตัว แล้วลองนึงภาพตอนเราโถม Sensor ต่าง ๆ เข้าไปหลายสิบตัว แน่นอนว่า Router ก็จะต้องมีอืดกันบ้างแหละ
แต่ถ้าเป็น ZigBee แล้วล่ะก็ต่อให้เราใช้ Sensor กี่ตัวก็ตาม จะไปเป็นภาระกับ Router แค่เพียงจำนวน Hub ที่เราเชื่อมต่อกับ Router เท่านั้นเอง เพราะ Sensor ทั้งหลายเชื่อมต่อกับ Hub ไม่ได้เชื่อมกับ Router โดยตรงนั่นเอง
สรุป: ZigBee สามารถรองรับ Sensor ได้หลายตัวโดยไม่เป็นภาระให้กับ Router แต่ WIFI นั้นถ้าใช้เป็นจำนวนมาก ๆ Router มีหนืดแน่นอน
การทำงานแบบ Offline
การทำงานแบบ WIFI นั้นจำเป็นต้องมี Internet อยู่ด้วยเสมอ แต่ถ้าเป็น ZigBee แล้วหล่ะก็ สามารถทำงานแบบ Localize ได้ตามที่เราตั้งเงื่อนไขไว้เลย
สรุป: ZigBee ทำงานแบบ Offline ได้ แต่ WIFI ทำงานแบบ Offline ไม่ได้ (โดยส่วนมาก)
ราคา
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่าแพ้กันคือ ราคา ซึ่งเจ้า WIFI นั้นจะมีราคาที่ถูกกว่า เนื่องจาก Chip WIFI ที่ใช้มีการผลิตเป็นจำนวนมากเป็นเวลานานแล้ว แพงกว่าเจ้า ZigBee อยู่ราว ๆ ประมาณ 10 – 20 %
สรุป: Zigbee แพงกว่า WIFI (นิดเดียว)
การใช้พลังงาน
เนื่องจากว่า จุกประสงค์ในการพัฒนาของเจ้า WIFI นั้น ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับ รับส่งข้อมูล ที่มีขนาดใหญ่ ๆ หรือเป็นจำนวนมาก (ซึ่งเทียบกับทำ IOT แล้วช่างน้อยนิด) จึงทำให้ WIFI นั้นค่อนข้างกินไฟเป็นอย่างมาก (ใครอาจจะเคยได้ยินมาว่า โทรศัพท์จะแบตหมดไวถ้าเราเปิด WIFI ทิ้งไว้นั่นเอง)
แต่ ZigBee ถูกออกแบบมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลย ไม่ต้องการที่จะรับส่งข้อมูลมากมาย เน้นแค่การประหยัดพลังงานแทน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว WIFI นั้นจะกินไฟมากกว่า ZigBee ประมาณ 10 เท่าตัวเลย ทำให้อุปกรณ์ ZigBee ที่ใช้แบตเตอรี่บางตัวสามารถอยู่ได้เป็นปี ๆ เลยก็ว่าได้
สรุป: ZigBee ประหยัดพลังงานกว่า WIFI (มาก มากกกกกกกกกก..)
ความรวดเร็วในการตอบสนอง
จากหัวข้อที่แล้วในเรื่อง การใช้พลังงาน เนื่องจากว่า WIFI นั้นเปลืองไฟมาก จึงมีระบบที่แก้ปัญหาในจุดนี้ เรียกว่า Sleep Mode เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่การทำแบบนี้ก็มีจุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มอยู่เช่นกัน ทำให้การส่งข้อมูลอาจจะมี Delay ช้าไป 3 – 4 วินาที เลยทีเดียว ไหนจะต้องรอ WIFI ตื่นขึ้นมาแล้วต่อกับ Router อีก ซึงถ้าเรายอมรับ Delay จุดนี้ได้ ก็สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ประเภท WIFI ได้
แต่ในทางกลับกันถ้าเราต้องการ การตอบสนองแบบทันทีเลย ZigBee จะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า เนื่องจาก ZigBee นั้นค่อนข้างประหยัดพลังงาน จึงไม่จำเป็นต้องมี Sleep Mode เหมือน WIFI ทำให้การส่งข้อมูลนั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
สรุป: ZigBee ตอบสนองได้เร็วกว่า WIFI
สรุปแล้วตัวไหนดีกว่ากัน ?
ต้องดูที่ ความต้องการใช้งานของผู้ใช้มากเสียกว่า ถ้าเป็นแค่ระบบเล็ก ใช้เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ WIFI ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากใช้งานติดตั้งอะไรได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องซื้อ Hub เพิ่มเติมอีกด้วย แต่ถ้าเราต้องการใช้งานแบเป็นจริงเป็นจังเลย ในพื้นที่ใหญ่ มีระบบอะไรที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จะขอแนะนำเป็นตัว ZigBee ดีกว่า
ส่งท้ายจากผู้เขียน
เป็นอย่างไรบ้างครับเนื้อหาในวันนี้ ทางผู้เขียนหวังว่าเนื้อหานี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่มาอ่านบทความนี้ด้วยนะครับ