Skip to main content
0
JavaScriptNewsProgramming Language

10 เรื่องน่ารู้ตอบข้อสงสัย JavaScript

ในการเขียนภาษา JavaScript นั้นมีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกับภาษาโปรแกรมอื่นๆ สำหรับคนที่ใช้งาน JavaScript ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มศึกษาหรือใช้มานานแล้ว ก็อาจจะยังมีบางเรื่องที่สงสัยหรือยังไม่รู้เกี่ยวกับ JavaScript อยู่ เราจึงรวบรวม 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ JavaScriptมาให้ได้ลองอ่านกัน

1. การประกาศตัวแปร var, let, const ใช้แบบไหน

ในการเขียนโค้ด การประกาศตัวแปรก็เป็นสิ่งแรกๆ ที่น่าจะเจอในการเริ่มต้นศึกษาภาษานั้นๆ ใน JavaScript ก็เช่นกัน สำหรับคนที่เริ่มศึกษา JavaSctipt น่าจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างก็คือ var, let และ const เพื่อการนำไปใช้งานอย่างถูกต้อง ลองมาดูกันว่าการประกาศแต่ละแบบนั้นต่างกันอย่างไรบ้าง

function run() {
    const myNum = 191;
    var one = "One";
    let two = "Two";
    {
        var three = "Three";
        let four = "Four";
    }
    console.log(one);    //Output: One
    console.log(two);    //Output: Two
    console.log(three);  //Output: Three
    console.log(four);   //Uncaught ReferenceError
}
run();
  • var – สำหรับการประกาศค่าด้วย var นั้น น่าจะเป็นแบบที่ทุกเคยเห็นกันแน่นอน ซึ่งการใช้ var นั้นเคยเป็นหลักในการประกาศตัวแปรมาก่อนที่ ES6 จะออกมา ซึ่งการประกาศด้วย var นั้นจะเป็นแบบ function scope เมื่อประกาศตัวแปรแล้วจะสมารถนำไปใช้ได้ภายในฟังก์ชันนั้นได้ทั้งหมด
  • let – เป็นการประกาศตัวแปรที่ออกมาพร้อมกันกับ const ซึ่งมาพร้อมกับอัพเดต ES6 เพื่อช่วยให้การเขียน JavaScript นั้นง่ายขึ้น โดย let เมื่อประกาศแล้วตัวแปรจะมีค่าอยู่แค่ภายใน block scope คือแค่ภายในเครื่องหมาย { และ } ทำให้ไม่เกิดปัญหาการอ้างอิงตัวแปรเก่า เช่น การใช้ตัวแปรใน loop ค่างๆ ที่ต้องการประกาศค่าขึ้นมาใหม่
  • const – ใช้สำหรับประกาศค่าตัวแปรที่ไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงค่าได้ เพราะเมื่อประกาศค่าไปแล้วจะไม่สามรถแก้ไขค่านั้นซ้ำได้ โดย const นั้นทำงานภายใน block scope เหมือนกันกับ let

2. ชนิดของตัวแปร

JavaScript เป็น dynamic data type คือตัวแปรหนึ่งตัวนั้น สามารถกำหนดค่าที่ชนิดแตกต่างกันให้กับตัวแปรนั้นๆได้

var x = 10;
console.log(x);   //Output: 10
x = "hello";
console.log(x);   //Output: hello
x = [1, 2, 3];
console.log(x);   //Output: [1,2,3]

จะเห็นว่าในตอนแรกนั้นตัวแปร x นั้นถูกกำหนดค่า string ไว้ แต่ภายหลังก็สามารถกำหนดค่าด้วย number หรือ array ให้กับตัวแปร x ได้เช่นกัน ในด้านหนึ่งนึงนี่คือความง่ายในการเขียนโค้ด แต่เมื่อโค้ดมีความซับซ้อนขึ้น หรือในการนำไปใช้ในโปรเจ็กใหญ่ๆ การที่ไม่ระบุชนิดของตัวแปรก็อาจจะกลายเป็นความยุ่งยากในการพัฒนาได้ ซึ่งถ้าอยู่ในจุดนั้นคงต้องหาทางเลือกอื่น เช่นการเปลี่ยนไปใช้ TypeScript ในการพัฒนาแทน

3. เครื่องหมาย == กับ === ต่างกันยังไง ?

การสร้างอัลกอริทึมขึ้นมา operator สำหรับการเปรียบเทียบค่าพื้นฐานย่อมเป็นสิ่งจำเป็นที่มีอยู่ในโค้ด เช่น มากกว่า, น้อยกว่า, เท่ากัน หรือ ไม่เท่ากัน สำหรับเครื่องหมายที่ใช้ในการเปรียบเทียบความเท่ากันนั้น อาจจะเคยเห็นหรือเคยใช้ทั้ง == และ === มาแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรที่ต่างกัน

var a = 10;
var b = '10';

a == b       // Output: true
a === b      // Output: false
  • == จะใช้สำหรับเปรียบเทียบความเท่ากัน (equality)
  • === ใช้ในการเปรียบเทียบความเหมือนกัน/เป็นอย่างเดียวกัน (identically)

ในการใช้งาน == นั้นจะทำการแปลงชนิดของตัวแปรเพื่อเปรียบเทียบกัน ในขณะที่ === จะไม่ทำการแปลงชนิดของข้อมูล แต่จะเปรียบเทียบทั้ง ชนิดของตัวแปร และค่าของตัวแปร โดยตรง

4. What Is ‘This’ ?

ในภาษาอื่นๆเช่น Java นั้น this จะใช้เพื่ออ้างอิงถึง Object ที่กำลังใช้งานอยู่ อย่างเช่น method ภายในคลาสที่ต้องการเรียกค่าตัวแปรภายในคลาสนั้น ก็สามารถระบุได้ด้วยการใช้ this แต่ในส่วนของ JavaScript นั้นจะต่างออกไป โดยจะเปลี่ยนไปตามบริบทที่ใช้งาน เช่น

// สร้าง Object
var pet = {
  name: "Foo",
  weight: 15,
  info: function() {
    return "Name: " + this.name+ ", Weight: " + this.weight;
  }
};
  • this ใน method จะอ้างอิงถึง Object ที่เป็นเจ้าของ เช่นเดียวกันกับภาษา OOP อื่น
var x = 10;
function run() {
    var x = 20;
        console.log(x);          //Output: 20
        console.log(this.x);     //Output: 10
}
run();
  • this ใน function จะอ้างอิงถึง Window Object
<button onclick="console.log(this.tagName);">
    Click Me
</button>

//Output: BUTTON
  • this ใน event handler จะอ้างอิงถึง HTML Element ที่เป็นตัวทำให้เกิด event นั้นๆ

5. Null กับ undefined ต่างกันยังไง ?

สำหรับคนที่เคยเขียน JavaJcript น่าจะเคยเจอ error เกี่ยวกับ null และ undefined มาบ้าง ซึ่งทั้งสองอย่างก็ล้วนแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวแปรเวลาเขียนโค้ดเหมือนๆกัน แล้วสองอย่างนี้แตกต่างกันตรงไหน?

var myVarA;
console.log(myVarA);   //Output: undefined

var myVarB = null;
console.log(myVarB);   //Output: null
  • Undefined นั้นหมายถึงว่าตัวแปรนั้นถูกประกาศเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้กำหนดค่าให้ตัวแปร
  • Null นั้นเป็นค่าที่ใช้กำหนดให้กับตัวแปรเพื่อสื่อความหมายว่า ตัวแปรนั้นไม่มีค่าอะไร

นอกจากความหมายของทั้งสองตัวจะต่างกันแล้ว ยังมีข้อสังเกตอีกว่า undefined นั้นจะเป็นค่าเริ่มต้นที่โปรแกรมจะกำหนดให้ตัวแปรที่ถูกสร้างขึ้นแต่ยังไม่ได้กำหนดค่าเสมอ ส่วน null นั้นจะเป็นค่าที่โปรแกรมเมอร์เป็นคนกำหนดให้กับตัวแปร (รูปแกนทิชชู)

6. for / forEach / for-in / for-of แบบไหนใช้ยังไง ?

ในการเขียนโปรแกรมยังไงก็คงหนีไม่พ้นการใช้ for loop เพราะใช้ในการทำซ้ำงานต่างๆ โดยหลักๆที่ภาษาโปรแกรมอื่นๆมีกันก็น่าจะเป็น for และ for each ที่แต่ละคนคงจะเคยคุ้นเคยกันแล้ว พอมาเป็น javascript ก็มีเช่นกัน แต่ถ้าใครได้ลองหาข้อมูลดูอาจจะได้เจอกับ for-in และ for-of ที่การใช้งานก็ดูคล้ายกันไปหมด แล้วทีนี้เราจะเลือกใช้ for แบบไหนตอนไหนดี

let myArray = [1, 2, 3]
for (let index = 0; index < myArray.length; index++) {
    const element = myArray[index];
    console.log(element);
}
//Output
1
2
3
  • for – เริ่มที่ตัวพื้นฐาน สำหรับ for ตัวนี้ทุกคนต้องเคยใช้กันแน่นอน โดยจะเป็นการวนลูปตามค่า index ที่กำหนดไว้
let myArray = [1, 2, 3]
myArray.forEach(element => {
    console.log(element);
});
//Output 
1
2
3
  • forEach – มาถึงตัวนี้ก็น่าจะรู้จักการทำงานของมันที่เหมือนกันกับภาษาอื่นๆ คือใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลใน Array ต่างๆ โดยที่เราไม่ต้องประกาศค่า index ในการวนลูปเอง แต่ forEach จะเข้าถึงข้อมูลใน Array ตั้งแต่ตำแหน่งแรกจนถึงสุดท้ายให้เรา
var dog = {
    name: "Yoyo",
    color: "black",
    age: 2
}

for (const key in dog) {
    if (dog.hasOwnProperty(key)) {
        const element = dog[key];
        console.log(key + " : " + element);
    }
}
//Output
name : Yoyo
color : black
age : 2
  • for…in – สำหรับ for-in ของ javascript นั้นใช้สำหรับวนลูป Object ซึ่งจะได้เป็นชื่อ properties ของ Object นั้นๆ หรือก็คือ key นั่นเอง
// Array
var myArray = [1, 2, 3];
for (const iterator of myArray) {
    console.log(iterator);
}
//Output
1
2
3
// String
var str = "hello";
for (const iterator of str) {
    console.log(iterator);
}
//Output
h
e
l
l
o
  • for…of – ตัวสุดท้ายกับ for…of ตัวนี้จะใช้งานได้กับ iterable object หมายความว่าอะไรก็ตามที่สามารถวนลูปได้ จะสามารถใช้ for…of ได้นั่นเอง เช่น array, set หรือแม้แต่ string ก็สามารถใช้ได้

นี่เป็นเพียงแค่การวนลูปด้วย for ต่างๆเท่านั้น ยังไม่นับรวม while อีก จึงขึ้นอยู่กับการใช้งาน ว่าจะเลือกใช้อันไหนให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา

7. use strict คืออะไร ?

หลายคนที่เคยได้อ่านโค้ด JavaScript น่าจะเคยผ่านตากับ use strict ที่อยู่บรรทัดแรกของโค้ดมากันบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร  use strict มีไว้เพื่อระบุว่าโค้ดในส่วนนั้นจะทำงานใน strict mode ซึ่งจะทำให้ใช้ตัวแปรที่ยังไม่ได้ประกาศไม่ได้ เนื่องจากใน javascript นั้นหากเรียกใช้ตัวแปรโดยไม่ได้ประกาศ var/let/const นำหน้าชื่อตัวแปร ตัวแปรนั้นจะถูกกำหนดเป็น global variables ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการประกาศค่าตัวแปรเราจึงสามารถใช้ use strict ได้

function myFunction1 () {
    x = 6;
    console.log(x);    //Output: 6
}
myFunction1()
function myFunction2 () {
    "use strict";
    y = 7;
    console.log(y);    //Uncaught ReferenceError: y is not defined
}
myFunction2()

8. Arrow Function ( => ) คืออะไร ?

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มศึกษา JavaScript เวลาค้นหาข้อมูลอาจจะเจอกับเครื่องหมาย => ที่มีคนมาตอบตามกระทู้คำถามต่างๆเช่นใน Stack Overflow แล้วงงว่ามันคืออะไร ชื่อของเครื่องหมายนี้ก็ตามหัวข้อนี้เลยคือ Arrow Function เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับ ES6 เพื่อให้สามารถเขียนฟังก์ชันได้สั้นลง

// แบบปกติ
sayHi = function() {
  return "Hi Human";
}
// แบบใช้ Arrow Function
sayHi = () => {
  return "Hi Human";
}

9. string จะใช้ ‘ ’ , “ ” หรือ ` ` ?

การประกาศค่าให้กับตัวแปรชนิด string ใน JavaScript เราน่าจะเคยเห็นหรือใช้ทั้ง ‘ ’ (single quote) และ “ ” (double quote) ซึ่งทำงานได้เหมือนกันทุกประการ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน โดยจุดที่แตกต่างกันคือ

var str = 'Hello it\'s me';
console.log(str);     //Output: Hello it's me
  • single quote – ต้องใช้ Escape character สำหรับพิมพ์ single quote
var str = "Hello from the \"other\" side";
console.log(str);     //Output: Hello from the "other" side
  • double quote – ต้องใช้ Escape character สำหรับพิมพ์ double quote

จากสองแบบข้างต้นก็จะทำให้ความยากง่ายในการประกาศค่าตัวแปร string ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าเป็นประโยคแบบไหน เราก็สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมได้ แต่ยังมีอีกเครื่องหมายนึงที่ใช้ประกาศค่า string ได้ ก็คือ ` ` (backtick) ก็คือเครื่องหมายที่อยู่ปุ่มเดียวกันกับปุ่มตัวหนอนที่มักใช้สำหรับเปลี่ยนภาษากันนั่นเอง ส่วนการนำไปใช้งานนั้น

str = `Hello it's me from the "other" side`;
console.log(str);     //Output: Hello it's me from the "other" side
  • backtick – ไม่ต้องใช้ Escape character ในเวลาที่พิมพ์ทั้ง single quote และ double quote

จะเห็นได้ว่าการใช้ backtick นั้นช่วยให้การประกาศค่า string นั้นทำได้ง่ายขึ้น และโค้ดอ่านได้ง่าย แต่ท้ายที่สุกแล้วก็วนกลับไปที่ความถนัดของแต่ละคนหรือสไตล์ที่คนในทีมเลือกใช้กัน ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะเลือกใช้รูปแบบไหนในการเขียนโค้ดของเราออกมา

10. Boolean ใน Javascript อะไรบ้างที่เป็น true หรือเป็น false

ใน javascript นั้นค่าความจริงหรือ Boolean นั้นมี 2 ค่าด้วยกันนั่นคือ true และ false แต่นอกจากสองอย่างนี้แล้วสิ่งอื่นๆก็ล้วนนำมาเป็นค่าความจริงได้ โดยหลักการมีง่ายๆคือ

console.log(Boolean("hello"));            // true
console.log(Boolean(5));                  // true
console.log(Boolean(9.99));               // true
console.log(Boolean(1 + 2 + 3 + 4 + 5));  // true
  • อะไรก็ตามที่ “มีค่า” จะนับเป็น true เช่น “hello”, 5, 9.99, 1+2+3+4+5
console.log(Boolean(""));                 // false
console.log(Boolean(0));                  // false
console.log(Boolean(-0));                 // false
console.log(Boolean(null));               // false
console.log(Boolean(undefined));          // false
  • ส่วนอะไรก็ตามที่ “ไม่มีค่า” จะนับเป็น false เช่น “”, 0, -0, null, undefined

อ้างอิง

Develeper

Author Develeper

More posts by Develeper

Leave a Reply

Close Menu

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้สำหรับการติดตามทางการตลาด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นในการใช้งานเพื่อการวิเคราะห์ และ นำเสนอโปรโมชัน สินค้า รวมถึงหลักสูตรฟรี และ สิทธิพิเศษต่าง ๆ คุณสามารถเลือกปิดคุกกี้ประเภทนี้ได้โดยไม่ส่งผลต่อการทำงานหลัก เว้นแต่การนำเสนอโปรโมชันที่อาจไม่ตรงกับความต้องการ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า