เป็นไหม..หลังจากเริ่มทำงาน เริ่มอยากออมเงิน กลับคิดว่าตัวเองไม่มีความรู้เรื่องการเงินเลยสักนิด เพราะไม่ได้จบตรงสายมา โดยเฉพาะสายไอที โปรแกรมเมอร์ ที่ทำงานแต่ในแวดวงเทคโนโลยี จนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นออมเงิน และลงทุนเพื่อทำให้เงินงอกเงยออกมายังไงดี แต่ในยุคนี้แหละที่การเงินจะต้องพึ่งพาไอที เพราะฉนั้นรู้แบบนี้แล้วศึกษาไว้ก่อนยิ่งดี และจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคต เพราะเป็นสิ่งใกล้ตัว หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับการลงทุนกัน
ทำไมต้องลงทุน ..?
การลงทุนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อให้เงินของเราที่มีอยู่นั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าพูดถึงคนที่คิดจะเริ่มออมเงิน หลาย ๆ คน มักเริ่มออมเงินแบบปกติ คือ ออมก่อนใช้บ้าง เก็บเป็นรายเดือน โดยที่ไม่ได้นำเงินก้อนนั้นไปทำอะไร แต่กว่าจะออมเงินได้ตามเป้าที่วางไว้แล้วนั้นคงต้องใช้เวลานาน การลงทุนในช่องทางต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อให้เงินที่เรามีอยู่ปัจจุบันนี้เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยเงินปันผลหรือดอกเบี้ยนั่นเอง
รู้ตัวเองก่อนเริ่มลงทุน
ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในด้านต่าง ๆ เราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า
- เรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
- เราถนัดลงทุนด้านไหน
- สิ่งที่เราต้องการคืออะไร
และสิ่งที่ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนนั้น คือ
- ให้ความสำคัญกับลงทุนด้านไหนมากที่สุด
- อย่ามองแต่ผลตอบแทน จงมองความเสี่ยงที่ตามมาด้วย
- ลงทุนในสินทรัพย์ที่เราเข้าใจและให้สอดคล้องกับชีวิตเรา
8 ทางเลือกลงทุน เลือกแบบไหนดีให้ชีวิตดี๊ดี
ในวันนี้เรามาดู 8 เส้นทางการลงทุนหลักของสายไอที และ คนทั่วไปกันว่ามีอะไรบ้าง แล้วการลงทุนแบบไหนตอบโจทย์ชีวิตเราที่สุด มาหาคำตอบกับ BorntoDev พร้อมๆ กันไปเลย 😀
1.เงินฝากออมทรัพย์
คือ การที่เราฝากถอนเงินในบัญชีธนาคารปกติอย่างที่เราทำกันทุกวันนี้เลย ตรงส่วนนี้น่าจะเข้าใจ หรือ เคยมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กันอยู่แล้ว แบบนี้ก็ถือเป็นการออม ที่ได้ดอกเบี้ย ก็คือการลงทุนรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะ
ข้อดี
- ความเสี่ยงต่ำที่สุด นอกซะจากธนาคารจะล้มละลาย
- มีเงินเพียง 500 บาท ก็เริ่มลงทุนได้
ผลตอบแทน
- เงินฝากออมทรัพย์แบบปกติผลตอบแทนค่อนข้างน้อยตกอยู่ที่ 0.5 % ต่อปี
- เงินฝากแบบประจำ ผลตอบแทน 1 – 1.5 % ต่อปี
( แบ่งเป็นฝากเท่ากันในทุก ๆ เดือน แล้วแต่เราจะกำหนดว่าจะฝากกี่เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี โดยมีข้อกำหนดว่าถ้าถอนเงินก่อนกำหนดดอกเบี้ยจะไม่ได้รับ ซึ่งเงื่อนไขนี้แล้วแต่ธนาคารจะกำหนด )
ปล.มีการเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% เมื่อดอกเบี้ยที่ได้รับเกิน 20,000 บาท ด้วยนะ !
2.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)
คือ กองทุนที่เน้นการลงทุนฝากเงินในธนาคารร่วมการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น ( อายุไม่ถึง1ปี )
ข้อดี
- ความเสี่ยงต่ำรองลงมาจากการฝากออมทรัพย์
- ไม่ต้องเสียภาษี
- สภาพคล่องดี สามารถซื้อขายได้ในทุก ๆ วัน หรือเกิดเหตุฉุกเฉินกองทุนอันนี้กำลังอนู่ในช่วงขาขึ้น เราสามารถขายและรอรับเงินในวันถัดไปได้เลย แบบนี้จะเรียกว่า T+1
- มีเงินหลักร้อยก็สามารถลงทุนได้ แต่ขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราอยากจะลงด้วยนะว่าขั้นต่ำต้องซื้อเท่าไหร่
ผลตอบแทน
ผลตอบแทนของกองทุนรวมตลาดเงินค่อนข้างน้อยประมาณ 1.2 – 1.8% ต่อปี เผลอ ๆ ได้รับพอกันเท่าเงินฝากประจำอีกด้วย
3.กองทุนรวมตราสารหนี้ (Bond)
คือ ถ้าให้เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนการปล่อยกู้ ที่มีเราผู้ลงทุน เป็นเจ้าหนี้ และผู้ออกตราสารหนี้ เป็นลูกหนี้ โดยเราจะได้รับผลตอบแทนและเงินต้นคืนมาเมื่อครบกำหนดตราสารหนี้ที่ผู้ออกกำหนดไว้
ข้อดี
- ผลตอบแทน 2 – 5% ขึ้นอยู่กับอายุของตราสารหนี้ (มีอายุตั้งแต่ 1 วันถึง 20 ปีเลย)
- ระดับความเสี่ยงเราสามารเลือกได้ตามความต้องการ
- สามารถขายก่อนกำหนดได้ แต่การได้รับเงินคืนนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตราสารกนี้แต่ละบริษัทที่เราเลือก
ข้อกำหนดเงินขั้นต่ำในการซื้อ : เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท
4.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
คือ การระดมเงินทุนของเราไปลงทุนในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราสามารถเป็นเจ้าของคอนโดได้โดยที่ไม่ต้องซื้อห้องเป็นล้าน ๆ และได้ผลตอบแทนจากการบริหารอสังหาริมทรัพย์นี้ เหมาะสำหรับใครที่อยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้วมีเงินจำกัด
ข้อดี
- ผลตอบแทน 5-8% ต่อปี
- มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง สามารถขายแล้วรอรับเงินหลังการขาย 5 วัน หรือเรียกว่า T+5
- มีเงินหลักหมื่นก็เริ่มลงทุนได้
สิ่งที่ต้องระวังในการลงทุนประเภทนี้ คือ ปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น คอนโด ในความคิดเราคิดว่าต้องมีคนมาเช่าหรือซื้อแน่นอน แต่ในความเป็นจริงตอนนั้นเศรษฐกิจอาจไม่ดีจนทำให้กำลังซื้อของคนน้อยลง
5.กองทุนรวมหุ้น = กองทุนรวมตราสารทุน
คือ การเล่นหุ้นนั่นเอง เป็นการลงทุนยอดนิยมอีกประเภทหนึ่งที่ใครเห็นแล้วก็ต้องอยากหันมาลงทุนประเภทนี้ เพราะได้รับผลตอบแทนเยอะมาก โดยการเล่นหุ้นเราห้ามลืมจุดประสงค์ของตัวเองเลยว่าต้องการลงทุนในระยะสั้นหรือยาว เพื่อความเหมาะสมต่อการเล่น
ข้อดี
- ผลตอบแทนสูงถึง 10-12% ต่อปี
สิ่งที่ต้องระวังในการลงทุนประเภทนี้ คือ การลงทุนในหุ้นนั้นความเสี่ยงมาก ความผันผวนสูง ก่อนเล่นเราต้องศึกษาให้ดีก่อน อาจจะลองซ้อมมือใน clik2win เป็นเหมือน demo จำลอ
6.Cryptocurrency สกุลเงินดิจิทัล
คือ เหรียญคริปโตเคอเรนเป็นสกุลเงินในระบบดิจิทัล ซึ่งถ้าเทียบกันก็เหมือนกับสกุลเงิน ธนบัตรในประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถจับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอีกด้วย
ข้อดี
- ผลตอบแทนสูงมาก สูงมากกว่าการลงทุนในหุ้นซะอีก
- สะดวกในการซื้อขาย และปลอดภัย เพราะ ทำผ่านระบบ Blockchain
สิ่งที่ต้องระวังในการลงทุนประเภทนี้ คือ เหรียญคริปโตเคอเรนนั้นต้องเปลี่ยนจากเงินธรรมดาให้กลายเป็นเงินดิจิทัลจึงเป็นเรื่องกังวลของใครหลายคน และความเชื่อมั่นของเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางนั้นน่าเชื่อถือไหม เพราะการลงทุนประเภทนี้ไม่สามารถซื้อขายผ่านธนาคารได้รวมถึงผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงที่ได้กำไรเป็นหลักเท่าตัว ก็หมายความอีกนัยยะนึงว่าการลงทุนประเภทนี้มีความผันผวนสูงมาก ทำให้ความเสี่ยงก็สูงมากตามเช่นกัน
7. ETF (Exchange Traded Fund)
คือ กองทุนเปิดในตลาดหลักทรัพย์ ที่บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซึ่งการลงทุนประเภทนี้ทำให้เราสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้นในและนอกประเทศ ทองคำ เป็นต้น
ข้อดี
- ซื้อขายสะดวกสบายเหมือนหุ้น แต่ใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่า
- มีการกระจายการลงทุน
- มีผู้ดูแลสภาพคล่อง
- ได้รับผลตอบแทนทั้งปันผลหรือกำไรจากส่วนต่างราคากองทุน (ไม่ต้องเสียภาษี)
- การซื้อขั้นต่ำนั้นเริ่มต้นที่ 100 หน่วย เงินเริ่มต้นขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราต้องการเลือกซื้อ
- ค่าธรรมเนียมถูก
8. DW (Derivative Warrants)
คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เหมือนการซื้อขายหุ้นอีกเหมือนเคย เพียงแต่เราไม่มีสิทธิเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทและการซื้อหุ้นอ้าอิงวันเวลา ราคา ในอนาคต เช่นนั่นเอง
ข้อดี
- ใช้เงินลงทุนไม่มาก ซื้อขั้นต่ำ 100 หน่วยเหมือนหุ้นทั่วไป
- ความมั่นคงของหุ้นสูง เพราะ Dw มีเฉพาะในดัชนี SET100 SET50 Index
- มีผู้ดูแลสภาพคล่อง
สิ่งที่ต้องระวัง คือ ควรศึกษาให้ละเอียดรอบคอบก่อน เพราะมีความเสี่ยงสูง
จบไปแล้วกับ 8 ทางเลือกในการลงทุน ที่มีมาแนะนำสำหรับมือใหม่หลาย ๆ คน โดยอย่างยิ่งบุคคลที่อยู่ในแวดวงไอทีแนะนำสิ่งที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดก็คงเป็น cryptocurrency นี่แหละ เพราะเกี่ยวกับเบื้องหลังด้านเทคโนโลยีมากมาย (แต่ทั้งนี้ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่ตามมาเช่นกัน) อีกทั้งถ้าใช้เทคนิคการลงทุนแบบ DCA เพื่อสร้างโอกาสในการซื้อการลงทุนได้อย่างหลากหลายยิ่งดี เพราะเหมาะสมกับการใช้ลงทุนทรัพย์สินที่มีความผันผวน ราวกับว่าเราดูสถานการณ์มันไปก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในเงินจำนวนมาก